|
วิถีชีวิต
บ้านบาตร |
|
 |
กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร
เที่ยวมากี่ครั้งก็ยังไม่เคยเบื่อสักที คราวนี้ฉันหลบน้ำท่วมเข้ามาเที่ยวชม 6
ชุมชนประวัติศาสตร์ ในโครงการ “เตร่ ตรอก ลัดรั้วบ้าน ฟื้นตำนานป้อมปราบฯ
พระนคร ครั้งที่ 1” ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันเปิดบ้าน
ให้ผู้คนต่างถิ่นได้สัมผัสกับวิถีดั้งเดิมอันเรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ของตน
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า
วิถีบางอย่างยังคงซุกซ่อนแอบแฝงคุณค่าอยู่ในชุมชนเก่าเหล่านี้
สำหรับงานนี้ฉันตั้งต้นที่“ชุมชนบ้านบาตร”
ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนบริพัตร และถนนบำรุงเมือง ชุมชนที่รู้จักกันดีในนาม
แหล่งทำบาตรด้วยมือแหล่งสุดท้ายในเมืองกรุง |
|
ขั้นตอนการทำบาตร |
|
 |
ชุมชนบ้านบาตรแห่งนี้
มีอายุยาวนานกว่า 200 ปี
มีสิ่งที่โดดเด่นและสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันก็คือฝีมือการทำบาตรอันยอดเยี่ยม
กล่าวกันว่าบาตรทำมือที่บ้านบาตรนี้ เป็นลักษณะบาตรที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย
คือ เป็นบาตรเหล็กรมดำ ทำขึ้นด้วยมือ มีรอยตะเข็บเหมือนดังจีวรพระ
ซึ่งบาตรหนึ่งใบต้องผ่านขั้นตอนถึง 21
ขั้นตอนเลยทีเดียว
วันที่เดินเข้าไปในชุมชนนี้
ฉันได้เห็นการตีบาตร ทำบาตร และเสียงตีบาตรดังชัดเจน
และจากการสอบถามจากคุณลุงที่ทำบาตรได้ข้อมูลว่า
ในวันหนึ่งๆชุมชนบ้านบาตรผลิตบาตรมือออกสู่ภายนอกได้ราวๆ 20-30 ลูก
เนื่องจากว่าวันนี้หลงเหลือบ้านที่ทำบาตรอยู่เพียง 5 หลังเท่านั้น
ซึ่งภาพวิถีชีวิตเหล่านี้เหล่านี้น่าจะถูกใจคนที่รักในการถ่ายภาพไม่มากก็น้อย
|
|
หนังสือการ์ตูนหลากหลาย |
|
 |
ชุมชนถัดมา
ฉันเดินต่อไปยัง“ชุมชนจักรพรรดิพงษ์”
ที่อยู่ขนานกับถนนจักรพรรดิพงษ์ ไปจรดถนนหลานหลวงและถนนนครสวรรค์
แหล่งหนังสือและย่านนักเขียนแห่งกรุงเทพฯ
โดยช่วงต้นของพ.ศ.2500
เกิดการตั้งโรงพิมพ์ต่างๆขึ้นมากมาย และต่อมาก็ขยายตัวมาเป็นสำนักพิมพ์ ร้านค้าส่ง
ตัวแทนจำหน่ายต่อเนื่องมาเรื่อยๆ |
|
แท่นพิมพ์โบราณ |
|
 |
ปัจจุบันนี้ที่กิจการค้าส่งสิ่งพิมพ์มุ่งไปที่หนังสือการ์ตูนเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเรื่องเก่า เรื่องใหม่ ฉบับพิมพ์เดิมๆ พิมพ์ใหม่ หรือแนวใดก็ตาม
สามารถหาซื้อได้ตามร้านแถวนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีแท่นพิมพ์เก่า
ที่หาดูได้ยากมากในปัจจุบัน แต่ยังคงใช้งานได้เป็นอย่างดีอย่างเจ้าแท่นพิมพ์
HEIDELBERG ซึ่งตั้งอยู่ที่ร้านรุ่งรัตน์การพิมพ์
โดยเราสามารถขอเข้าไปชมแท่นพิมพ์ตัวนี้ได้
มาต่อกันที่
“ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน” หรือ “ชุมชนนางเลิ้ง”
ตั้งอยู่บริเวณโดยรอบวัดสุนทรธรรมทาน ถนนหลานหลวงจนถึงถนนนครสวรรค์
ชุมชนเก่าแก่แห่งนี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3เป็นถิ่นดังของกลุ่มละครชาตรีในอดีต
ถ้าใครต้องการจ้างละครชาตรีเป็นว่าต้องมาที่นี่เท่านั้น |
|
ปักชุดรำ
ละครชาตรี |
|
 |
สำหรับคณะละครที่มีชื่อเสียงที่สุดและยังคงสืบทอดฝีมือละครชาตรีมาจนถึงรุ่นลูกหลานคือ
คณะละครครูพูน เรืองนนท์ ปัจจุบันกลุ่มชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน – นางเลิ้ง
นั้นได้มีการรวมตัวกันริเริ่มนำศิลปะและวัฒนธรรมดังกล่าวเพื่อพลิกฟื้นให้สถาปัตยกรรมเช่นโรงภาพยนตร์กลับมาถูกใช้งานในยุคปัจจุบันนอกเหนือจากการเป็นเพียงโกดัง
นอกจากนี้ยังได้มีการสอนการรำไทยให้กับเด็กๆ
ในชุมชนและผู้ที่สนใจ โดยคุณครูผู้สอนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็นลูกหลานของคณะละครของครูพูน เรืองนนท์นั้นเอง ซึ่งจะเปิดสอนกันในทุกๆ
วันเสาร์ ซึ่งนอกจากเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพเณีอันดีงามไว้แล้ว
ยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโชยน์อีกด้วย
|
|
สอนเด็กๆ
รำไทย |
|
 |
ไม่ไกลกันนั้นคือ
“ชุมชนวังกรมพระสมมติอมรพันธ์"
ตั้งอยู่ระหว่างถนนบำรุงเมืองและวัดเทพธิดาราม หรือย่านประตูผีที่เรารู้จักกัน
ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ในตรอกแคบๆ ซึ่งอาจจะเดินเลยไปได้
ถ้าหากไม่สังเกตให้ดี
เมื่อเดินผ่านทางเดินเล็กๆนั้นเข้ามา
จะพบกับวังเก่า ตัวอาคารสีขาวสะดุดตา นั่นก็คือวังกรมพระสมมตอมรพันธ์
หรือพระองค์เจ้าสวัสดิประวัติซึ่งเป็นพระโอรสในรัชกาลที่ 4
และเป็นราชเลขาส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
ต้นราชสกุล “สวัสดิกุล ณ อยุธยา” |
|
วังกรมพระสมมติอมรพันธ์ |
|
 |
ตัววังสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5
แม้ว่าตัวอาคารวังเก่านี้จะไม่ได้เปิดใช้งานอีกต่อไป
แต่สามารถเข้ามาเยี่ยมชมความงานที่ซ่อนตัวอยู่ในชุมชนเล็กๆ นี้ได้
สำหรับวิถีชีวิตคนในชุมชนยังคงดำรงอยู่แบบเดิมๆ
โดยชาวบ้านทำอาชีพเย็บผ้าเหลืองเป็นจีวรและสบงและขายเครื่องสังฆภัณฑ์
ตาลปัตรใบลานต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน
“ชุมชนวัดสระเกศ”
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณซอยคลองถมวัดสระเกศ ติดโรงเรียนวัดสระเกศ ถนนบำรุงเมือง
คือชุมชนต่อไป ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องการสร้างเมรุปูน และการทำโลงศพ
ฝีมือช่างแบบเซี่ยงไฮ้ |
|
ตัดเย็บจีวร |
|
 |
"ชุมชนวัดสระเกศ"
เป็นชุมชนที่มีความผูกพันกับพื้นที่วัดสระเกศวรมหาวิหารและคลองมหานาคมาโดยตลอด
มีกลุ่มชาวจีนจากเซี่ยงไฮ้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ยังชุมชนแห่งนี้พร้อมนำวิชาช่างไม้ติดตัวมาด้วย
โดยเข้ามาเช่าตึกแถวชั้นครึ่งตลอดสองฝั่งทางเพื่ออยู่อาศัยและประกอบอาชีพทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ต่างๆรวมทั้งเปิดกิจการค้าไม้เรียงรายกันตลอดทั้งซอย
จนเป็นที่เรียกขานกันทั่วไปว่า ตรอกเซี่ยงไฮ้ หรือ ซอยเซี่ยงไฮ้
และกลายเป็นแหล่งค้าไม้และทำงานช่างไม้แหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของเมือง
|
|
ช่างทำโรงศพ |
|
 |
ในปัจจุบันนั้นตัวตึกและอาคารแบบจีนภายในชุมชนมีความเสื่อมโทรมลงไปตามกาลเวลา
จึงเกิดเป็นโครงการ “เล่าขานบ้านจีน”
โดยชวนคนในชุมชนมาร่วมกันทาสีอาคารให้กลับมามีสีสันที่สดใสอีกครั้ง
แต่สำหรับการทำโรงศพที่ตรอกเซี่ยงไฮ้นี้ยังเหลือบ้านที่โรงศพอยู่จำนวน 2
หลังเท่านั้น
ปิดท้ายกันที่ “ชุมชนสิตาราม”
ตั้งอยู่บริเวณวัดสิตาราม ถนนจักรพรรดิพงษ์และถนนดำรงรักษ์
เป็นย่านเก่าจีนที่ทำอาชีพเลี้ยงหมู และเป็นแหล่งรวมครูปี่พาทย์และมวยไทย
|
|
สีสันเล็กๆ ที่ตรอกเซี่ยงไฮ้
|
|
 |
เดิมชุมชนสิตารามเป็นชุมชนคนจีนที่อพยพมาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์และทำอาชีพเลี้ยงหมูอยู่ในบริเวณนี้
จึงเรียกบริเวณนี้ว่าชุมชนคอกหมู ภายหลังราวปีพ.ศ.2497
ก็ต้องเลิกกิจการไปเพราะเริ่มมีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่เยอะขึ้น
สำหรับภายในตัววัดสิตารามนั้นมี
พระอุโบสถและพระวิหารเก่า ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
โดยศิลปะที่ยังคงหลงเหลืออยู่ได้แก่ หน้าบันประดับลายปูนปั้นลายเครือเถาไม้ดอก
ตัวโบสถ์ไม่มีช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ พาไลลาดชัน เสาพาไลไม่มีบัว
ซุ้มประตุเป็นลายดอกไม้เทศ ส่วนบานประตูเป็นลายรดน้ำ |
|
โบสถ์เก่า
วัดสิตาราม |
|
 |
สิ่งน่าสนใจอีกอย่างในชุมชนนี้ก็คือ ที่นี่ถือเป็นแหล่งมวยดังค่ายแสงมรกต
ที่มีชื่อเสียงทั้งในวงการมวยของไทยและยังมีชื่อเสียงไกลไปยังนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังกรุงเทพฯ
ให้ได้มาฝึกฝีมือมวยกันไม่ขาดสาย |
|
ค่ายมวยแสงมรกต |
|
 |
นอกจาก 6
ชุมชนที่ฉันไปตะลุยมาแล้ว ในกรุงเทพฯ
ยังมีอีกหลายชุมชนที่เป็นชุมชนประวัติศาสตร์มีความเป็นมาน่าสนใจและมีวิถีอันเป็นเอกลักษณ์
โดยหลายชุมชนยังคงความเป็นวิถีดั้งเดิมเอาไว้ควบคู่ไปกับวิถีโลกสมัยใหม่
ในขณะที่อีกหลายชุมชนได้ละทิ้งประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์
และมนต์เสน่ห์ของชุมชนเหล่านั้นไปกับวิถีโลกสมัยใหม่
โดย โครงการ เตร่ ตรอก ลัดรั้วบ้าน ฟื้นตำนานป้อมปราบฯ
พระนคร ครั้งที่ 1 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น